แม้จะเป็นโรคที่คุ้นชื่อ แต่จริง ๆ แล้วเบาหวานมีหลายชนิด และแต่ละชนิดก็มีสาเหตุ อาการ และวิธีดูแลที่ต่างกัน หากเข้าใจประเภทของเบาหวานอย่างถูกต้อง คุณจะสามารถดูแลสุขภาพตัวเองหรือคนใกล้ตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) คือภาวะเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรืออินซูลินทำงานได้ไม่เต็มที่ อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ทำหน้าที่สำคัญในการนำน้ำตาลจากเลือดเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินไม่เพียงพอ หรือไม่ทำงานตามปกติ จะส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทั้งในช่วงหลังรับประทานอาหาร (post-prandial) หรือขณะอดอาหาร (fasting) หรือทั้งสองภาวะ การมีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่าง ๆ ได้
โรคเบาหวาน แบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดหลัก ดังนี้:
1. เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1)
• มักเกิดในเด็กหรือวัยรุ่น
• ตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่ได้เลย เพราะภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลิน
• อาการมาเร็ว เช่น ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลด กระหายน้ำ
• ต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต
• เสี่ยงภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน (DKA)
2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2)
• พบมากที่สุด โดยเฉพาะในผู้ใหญ่หรือคนอ้วน
• ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน หรือสร้างได้ไม่พอ
• เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม พฤติกรรมการกิน ขาดการออกกำลังกาย
• ควบคุมได้ด้วยการปรับพฤติกรรม ยา และบางรายอาจต้องใช้อินซูลิน
3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)
• พบในหญิงตั้งครรภ์ มักตรวจพบช่วงอายุครรภ์ 24–28 สัปดาห์
• เกิดจากฮอร์โมนรกที่รบกวนการทำงานของอินซูลิน
• หากควบคุมไม่ดี เสี่ยงคลอดยาก ทารกตัวโต และน้ำตาลต่ำหลังคลอด
• ส่วนใหญ่หายหลังคลอด แต่แม่และลูกเสี่ยงเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
4. เบาหวานชนิดอื่น ๆ ที่มีสาเหตุจำเพาะ (Other Specific Types)
มีสาเหตุเฉพาะ เช่น
• ความผิดปกติทางพันธุกรรม
• โรคตับอ่อน
• ความผิดปกติของฮอร์โมน (เช่น โรคคุชชิง)
• การใช้ยาบางชนิด
• การติดเชื้อบางชนิด เช่น ไวรัส congenital cytomegalovirus หรือ coxsackievirus
เบาหวานประเภทไหนอันตรายที่สุด?
เบาหวานทุกประเภทมีความเสี่ยงหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม แต่โดยทั่วไป เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes) มักถูกมองว่า "อันตรายที่สุด" ด้วยเหตุผลดังนี้
เบาหวานชนิดที่ 1
• เป็นภาวะที่ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เลย
• มักเกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น
• ต้อง ฉีดอินซูลินตลอดชีวิต เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
• ถ้าไม่ควบคุมดี อาจเกิดภาวะ น้ำตาลต่ำเกินไป (hypoglycemia) หรือ สูงเกินไป (ketoacidosis) ซึ่งอาจถึงชีวิตได้
เปรียบเทียบกับเบาหวานชนิดอื่น:
• เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2) พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ มีอินซูลินแต่ใช้งานไม่เต็มที่ มักสัมพันธ์กับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย
• เบาหวานขณะตั้งครรภ์ เสี่ยงกับทั้งแม่และลูก แต่โดยทั่วไปจะหายหลังคลอด
• อย่างไรก็ตาม เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นอันตรายเช่นกันหากปล่อยไว้ไม่รักษา เพราะอาจส่งผลต่อไต ตา หัวใจ และระบบประสาทได้ในระยะยาว
ความสำคัญของการแยกประเภทเบาหวาน
การแยกประเภทของโรคเบาหวาน ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษา ที่เหมาะสมกับแต่ละผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องได้รับอินซูลินตลอดชีวิต ในขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อาจควบคุมได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและการใช้ยา นอกจากนี้ การวินิจฉัยที่ถูกต้องยังช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาที่ไม่เหมาะสม
เครื่องวัดน้ำตาลช่วยคุณอย่างไร?
รู้เท่าทันร่างกาย – ปรับพฤติกรรมได้ทันเวลา
• วัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ ทำให้รู้ว่าอาหารหรือกิจกรรมแบบไหนกระทบระดับน้ำตาลอย่างไร
• ปรับอาหาร ออกกำลังกาย และยาตามข้อมูลจริง
ป้องกันภาวะแทรกซ้อน
• ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ไตวาย ตาบอด หรือแผลเรื้อรัง
ช่วยวางแผนสุขภาพระยะยาว
• ติดตามแนวโน้มระดับน้ำตาล เพื่อวางแผนการรักษาหรือปรึกษาแพทย์ได้ทันท่วงที
รู้ตัวก่อนอาการจะรุนแรง
• ผู้ที่ไม่แสดงอาการ แต่มีภาวะน้ำตาลสูงเรื้อรังสามารถตรวจพบได้เร็วและเริ่มดูแลได้ตั้งแต่ต้น
หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีความเสี่ยง เช่น น้ำหนักเกิน มีประวัติครอบครัว หรืออายุ 35 ปีขึ้นไป การมีเครื่องวัดน้ำตาลไว้ที่บ้านถือเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่คุ้มค่าทีเดียว