สำหรับผู้ป่วยเบาหวานและผู้ดูแล การทำความเข้าใจภาวะ น้ำตาลในเลือดตก (Hypoglycemia) และ น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งสองภาวะนี้ล้วนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการจัดการอย่างทันท่วงที แล้วภาวะไหนกันแน่ที่น่ากังวลกว่า และเราจะตรวจเช็คด้วยตัวเองที่บ้านได้อย่างไร?
น้ำตาลตก (Hypoglycemia) คืออะไร?
ภาวะน้ำตาลในเลือดตก คือเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลงต่ำกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (mg/dL) เป็นภาวะที่อันตรายเฉียบพลันและต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะสมองต้องการน้ำตาลเพื่อทำงาน หากน้ำตาลต่ำมาก สมองจะขาดพลังงานและเกิดความเสียหายถาวรได้
สาเหตุ: มักเกิดจากการใช้ยาเบาหวานมากเกินไป, กินอาหารน้อยเกินไปหรือข้ามมื้อ, ออกกำลังกายหนักเกินไป, หรือดื่มแอลกอฮอล์
อาการที่ควรสังเกต:
• ใจสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น มือสั่น
• หิวมาก วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด
• อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
• ปวดศีรษะ สับสน พูดจาไม่ชัด
• หากรุนแรงอาจหมดสติ ชัก หรือเสียชีวิตได้
น้ำตาลสูง (Hyperglycemia) คืออะไร?
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง คือเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 180 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (mg/dL) เป็นภาวะที่หากเกิดขึ้นเรื้อรังจะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว แต่หากสูงมากและเฉียบพลันก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้เช่นกัน โดยเฉพาะภาวะที่เรียกว่า ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน (Diabetic Ketoacidosis - DKA) หรือ ภาวะเลือดข้นจากน้ำตาลสูง (Hyperosmolar Hyperglycemic State - HHS)
สาเหตุ: มักเกิดจากการกินอาหารมากเกินไป โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล, ใช้ยาเบาหวานไม่สม่ำเสมอหรือไม่เพียงพอ, ไม่ได้ออกกำลังกาย, มีความเครียด, หรือมีการติดเชื้อในร่างกาย
อาการที่ควรสังเกต:
• หิวน้ำบ่อย ปากแห้ง
• ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
• อ่อนเพลีย ง่วงซึม
• ตาพร่ามัว
• น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
• หากรุนแรงอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หายใจหอบลึก ซึมลง หมดสติ (ในกรณี DKA หรือ HHS)
น้ำตาลตก-น้ำตาลสูง อันไหนอันตรายกว่ากัน?
โดยทั่วไปแล้ว ภาวะน้ำตาลในเลือดตกเฉียบพลัน (Hypoglycemia) ถือว่าอันตรายกว่าในระยะสั้นและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เร็วกว่า หากไม่ได้รับการแก้ไขทันท่วงที เพราะสมองจะขาดน้ำตาลอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ภาวะน้ำตาลสูงจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวและค่อยๆ สะสมความเสียหาย แต่หากน้ำตาลสูงมากผิดปกติและเป็นเวลานาน ก็สามารถทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตนหรือ ภาวะเลือดข้นจากน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นอันตรายเฉียบพลันถึงชีวิตได้เช่นกัน
ดังนั้น ทั้งสองภาวะนี้ล้วนเป็นอันตราย และไม่ควรละเลย ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการและวิธีการรับมืออย่างถูกต้อง
ตรวจเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน ด้วยเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด
การมี เครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด ติดบ้านไว้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันและจัดการภาวะทั้งสองนี้ คุณสามารถตรวจเช็คระดับน้ำตาลได้ด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ และทำได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอน:
• เตรียมอุปกรณ์: เครื่องตรวจน้ำตาล แถบตรวจ เข็มเจาะปลายนิ้ว และสำลีแอลกอฮอล์
ล้างมือให้สะอาด: เช็ดให้แห้งสนิท
• ใส่แถบตรวจ เสียบแถบตรวจเข้าเครื่อง
• เจาะเลือดที่ปลายนิ้ว ใช้เข็มเจาะปลายนิ้ว (หลีกเลี่ยงนิ้วชี้) บีบเลือดออกมาหนึ่งหยด
• หยดเลือดลงแถบตรวจ แตะหยดเลือดที่ปลายแถบตรวจตามทิศทางที่เครื่องกำหนด
• รอผล เครื่องจะแสดงผลระดับน้ำตาลในเลือดภายในไม่กี่วินาที
• บันทึกผล จดบันทึกค่าที่ได้ วันที่ เวลา และกิจกรรม (เช่น ก่อนอาหาร หลังอาหาร หรือก่อน/หลังออกกำลังกาย) หรือ บันทึกผลในเครื่องที่เชื่อมต่อกับแอพฯ ในมือถือได้ เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินผลได้
ประโยชน์ของการตรวจน้ำตาลในเลือดเองที่บ้าน
• รู้ผลทันที ทำให้คุณสามารถแก้ไขภาวะน้ำตาลตกหรือสูงได้อย่างรวดเร็ว
• เห็นความเชื่อมโยง เข้าใจว่าอาหาร กิจกรรม หรือยา ส่งผลต่อน้ำตาลของคุณอย่างไร
• เป็นข้อมูลให้แพทย์ ช่วยให้แพทย์ปรับแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและเหมาะสมกับคุณที่สุด
วิธีรับมือเมื่อพบอาการผิดปกติ
เมื่อน้ำตาลตก (น้อยกว่า 70 mg/dL):
• รีบกินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวที่ดูดซึมเร็ว เช่น ลูกอม 2-3 เม็ด, น้ำหวาน 1 แก้วเล็ก, หรือกลูโคสเม็ด
• รอ 15 นาที แล้วตรวจน้ำตาลซ้ำ หากยังต่ำอยู่ ให้กินซ้ำอีกครั้ง
• เมื่อระดับน้ำตาลกลับมาปกติ ให้กินอาหารมื้อหลักหรืออาหารว่างเพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่
• หากหมดสติ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
เมื่อน้ำตาลสูง (มากกว่า 250 mg/dL และมีอาการ):
• ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
• ห้ามหยุดยาเบาหวานเองเด็ดขาด
• หากมีอาการผิดปกติรุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หายใจหอบ หรือซึมลง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
• ปรึกษาแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา
ทั้งภาวะน้ำตาลตก และน้ำตาลสูงล้วนเป็นสัญญาณอันตรายที่ผู้ป่วยเบาหวานต้องใส่ใจ การมี เครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดที่บ้าน จะช่วยให้คุณสามารถเฝ้าระวังและรับมือกับภาวะเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที ทำให้คุณมีข้อมูลสำคัญในการดูแลตัวเอง และทำงานร่วมกับแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อชีวิตที่มีคุณภาพ และห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน