การดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานเป็นภารกิจที่สำคัญและต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะผู้สูงอายุมีความเปราะบางและเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานมากกว่าวัยอื่น ๆ บทความนี้คือคู่มือสำหรับผู้ดูแล เพื่อให้สามารถช่วยคนที่คุณรักให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
ทำไมผู้สูงอายุกับเบาหวานถึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษ?
ผู้สูงอายุที่ป่วยเบาหวาน มักมีปัจจัยที่ทำให้การควบคุมโรคซับซ้อนขึ้น เช่น:
• การทำงานของร่างกายที่เปลี่ยนแปลง การเผาผลาญลดลง ความไวของเซลล์ต่ออินซูลินลดลง และการทำงานของไตที่อาจไม่เต็มที่
• โรคประจำตัวอื่น ๆ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการรักษาเบาหวานและเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
• การรับประทานยาหลายชนิด อาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา หรือผลข้างเคียงที่ทำให้การควบคุมน้ำตาลยากขึ้น
• ภาวะแทรกซ้อนที่สะสม ผู้สูงอายุอาจมีภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานมานาน เช่น จอประสาทตาเสื่อม ไตเสื่อม หรือปลายประสาทเสื่อม ซึ่งต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
• ความบกพร่องทางร่างกายและจิตใจ อาจมีปัญหาด้านความจำ การมองเห็น การเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นอุปสรรคในการดูแลตัวเอง
สิ่งสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุเบาหวาน
1. การควบคุมอาหารอย่างเหมาะสม
• เน้นคุณภาพ ไม่ใช่แค่ปริมาณ เลือกอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผักใบเขียว ธัญพืชไม่ขัดสี ผลไม้รสไม่หวานจัด เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและเสริมระบบขับถ่าย
• โปรตีนเพียงพอ เน้นโปรตีนไม่ติดมัน เช่น ปลา เนื้อไก่ เต้าหู้ ไข่ เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ ซึ่งสำคัญต่อการเผาผลาญ
• จำกัดคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว ลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ขนมหวาน น้ำอัดลม และเลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในปริมาณที่เหมาะสม
• ไขมันดี เลือกไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วต่างๆ
• จัดมื้ออาหารสม่ำเสมอ แบ่งมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน แทน 3 มื้อใหญ่ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่และป้องกันภาวะน้ำตาลตก
2. ส่งเสริมกิจกรรมทางกายที่เหมาะสม
• เคลื่อนไหวเบา ๆ แต่สม่ำเสมอ การเดินเบาๆ โยคะสำหรับผู้สูงอายุ หรือกายบริหารในท่านั่ง ก็เพียงพอที่จะช่วยควบคุมน้ำตาลและลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน
• ปรึกษาแพทย์/นักกายภาพ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้สูงอายุ
• ระวังการบาดเจ็บ ตรวจสอบรองเท้า และสภาพแวดล้อมที่ออกกำลังกายให้ปลอดภัย
3. การจัดการยา และการตรวจระดับน้ำตาล
• ทำตามแผนการรักษาอย่างเคร่งครัด ให้ยาตามเวลาและปริมาณที่แพทย์สั่ง ไม่ปรับยาเองเด็ดขาด
• ตรวจระดับน้ำตาลสม่ำเสมอ ใช้ เครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดที่บ้าน เพื่อบันทึกค่าอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ ข้อมูลเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับแผนการรักษา
• สังเกตอาการผิดปกติ เช่น น้ำตาลตก (ใจสั่น เหงื่อออก วิงเวียน) หรือน้ำตาลสูง (หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย) และแจ้งแพทย์ทันที
4. การดูแลเท้าและผิวหนัง
• ตรวจเท้าทุกวัน เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานเสี่ยงต่อปลายประสาทเสื่อม ทำให้ชาและไม่รู้สึกเจ็บเมื่อมีแผลที่เท้า ผู้ดูแลควรตรวจเท้าของผู้สูงอายุทุกวัน มองหาแผล รอยแตก ตุ่มพอง หรือการเปลี่ยนสี
• รักษาความสะอาด ล้างเท้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งเสมอ โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้ว
• เลือกรองเท้าที่เหมาะสม สวมรองเท้าที่กระชับ ไม่บีบรัด และมีพื้นนิ่ม ป้องกันการเสียดสี
• บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ทาโลชั่นเพื่อป้องกันผิวแห้งแตก แต่หลีกเลี่ยงบริเวณซอกนิ้วเท้า
5. การดูแลสุขภาพจิต และอารมณ์
รับฟังและให้กำลังใจ ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีความกังวลหรือซึมเศร้า การรับฟังอย่างเข้าใจและให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ
ส่งเสริมกิจกรรมทางสังคม ชวนทำกิจกรรมที่ชอบ พบปะเพื่อนฝูง หรือเข้าร่วมกลุ่มชมรม เพื่อลดความรู้สึกโดดเดี่ยว
สังเกตสัญญาณซึมเศร้า หากผู้สูงอายุมีอาการซึมเศร้า เบื่อหน่าย ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ควรปรึกษาแพทย์
6. การไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
ความต่อเนื่องของการรักษา พาผู้สูงอายุไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อประเมินอาการ ปรับยา และตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ตรวจตา ตรวจไต ตรวจเท้า
นำข้อมูลไปให้แพทย์ เตรียมบันทึกระดับน้ำตาลที่บ้าน รายการยาที่รับประทาน และข้อสังเกตต่าง ๆ เพื่อให้แพทย์ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน
เมื่อไหร่ที่ต้องรีบพบแพทย์?
ผู้ดูแลควรสังเกตอาการเหล่านี้ และรีบพาผู้สูงอายุไปพบแพทย์ทันที:
• ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรง หมดสติ ชัก พูดจาสับสน อ่อนแรงอย่างรุนแรง
• ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรง หายใจหอบลึก ซึมลง ปากแห้ง กระหายน้ำมาก
• มีแผลที่เท้า หรือแผลตามร่างกายที่ดูแย่ลง แผลไม่หาย มีหนอง มีกลิ่นเหม็น หรือปวดมาก
การป้องกันภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ทำได้ด้วยการ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด ควบคู่กับการควบคุมความดันโลหิต และไขมันในเลือด การรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการตรวจสุขภาพตามนัดเป็นประจำ รวมถึงการ ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดที่บ้านด้วยตัวเอง เพื่อติดตามและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างทันท่วงที
การดูแลผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานเป็นความท้าทายที่ต้องใช้ทั้งความรู้ ความอดทน และความรัก แต่เมื่อคุณเข้าใจหลักการสำคัญ และปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ จะสามารถช่วยให้คนที่คุณรักมีชีวิตที่ยืนยาว มีคุณภาพ และห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงจากเบาหวานได้อย่างแน่นอน