เบาหวานระยะเริ่มต้น สังเกตอาการยังไง?

เบาหวานในระยะเริ่มต้น มักไม่มีอาการเด่นชัด แต่มักมีสัญญาณเตือน เช่น เหนื่อยง่าย ปัสสาวะบ่อย หรือแผลหายช้า จึงต้องรีบตรวจเช็คเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง

เบาหวานคืออะไร?

โดยปกติ เมื่อรับประทานอาหาร ระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนเพื่อลดระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และช่วยนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่ในผู้ป่วยเบาหวาน กระบวนการนี้เกิดความผิดปกติ ทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือหลั่งอินซูลินได้ไม่เพียงพอ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินปกติ 

โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินกว่าปกติเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของตับอ่อนที่หลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยกว่าปกติ หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่  

โรคเบาหวานแบ่งเป็น 4 ชนิด ได้แก่ 

  1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลิน เกิดจากเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งมักพบได้ในเด็ก จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาอินซูลิน 
  2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากร่างกายมีภาวะดื้ออินซูลิน ส่วนใหญ่พบในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกิน หรือมีภาวะอ้วน และผู้สูงอายุ และมักมีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานร่วมด้วย ในระยะแรกสามารถรับประทานยาลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่หากเป็นระยะเวลานาน ๆ ในบางรายอาจต้องใช้ยาอินซูลิน 
  3. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เป็นโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ และหายไปหลังคลอด มักเกิดในไตรมาส 2-3 ของตั้งครรภ์ 
  4. โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ เช่นโรคทางพันธุกรรม ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคความผิดปกติของต่อมไร้ท่อบางชนิด ยาบางประเภท เช่น ยาที่มีสเตียรอยด์เป็นส่วนประกอบ

อาการของเบาหวานระยะแรก

ในระยะแรกที่ระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่สูงมาก อาการอาจจะยังไม่เด่นชัด แต่สามารถตรวจเช็คอาการเบื้องต้นที่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานระยะแรกได้ ดังนี้ 

• อาการกระหายน้ำ และปัสสาวะบ่อย เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายจะพยายามกำจัดน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ และปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน 

• น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ในผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานระยะแรกอาจพบว่าน้ำหนักลดลงทั้งที่ไม่ได้ควบคุมอาหาร หรือออกกำลังกาย เนื่องจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงต้องสลายไขมัน และกล้ามเนื้อมาใช้แทน 

• หิวบ่อย กินจุ อ่อนเพลีย และง่วงนอนผิดปกติ เนื่องจากเซลล์ไม่ได้รับน้ำตาลเพียงพอที่จะนำไปใช้เป็นพลังงาน จึงทำให้รู้สึกหิวบ่อย รับประทานจุ เหนื่อยง่าย และง่วงนอนผิดปกติ 

• แผลหายช้า และติดเชื้อง่าย เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง จะส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ หรือติดเชื้อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังและเท้า 

• คันตามผิวหนัง ผู้ป่วยเบาหวานมักมีผิวหนังที่แห้ง จึงทำให้เกิดอาการคันตามผิวหนังได้ รวมถึงในบางกรณีอาจเกิดจากการที่ปลายประสาทบริเวณผิวหนังถูกทำลายจึงทำให้เกิดอาการคันยุบยิบตามผิวหนังได้ 

• ตามัว เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติอาจส่งผลให้ผนังหลอดเลือดฝอยเสื่อมทั่วร่างกาย รวมถึงหลอดเลือดฝอยบริเวณจอตา ทำให้เกิดอาการตามัวได้ 

• ชาปลายมือปลายเท้า ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงผิดปกติอาจทำให้ปลายประสาทบริเวณปลายมือ และปลายเท้าถูกทำลาย จึงเกิดอาการชาได้ 

อาการที่แตกต่างในเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 

ข้อแตกต่างระหว่างเบาหวานชนิดที่ 1 และ 2 คือ เบาหวานชนิดที่ 1 สามารถพบได้ในทุกช่วงวัย ผู้ป่วยอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และอาการสามารถรุนแรงขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน ในขณะที่เบาหวานชนิดที่ 2 จะพบบ่อยในผู้ใหญ่มากกว่า อาการมักไม่เด่นชัด ดังนั้นจึงควรรู้ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2  
 
ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 

  • อายุ 35 ปีขึ้นไป 
  • มีโรคอ้วน  
  • มีประวัติครอบครัว พ่อ แม่ พี่ หรือน้องเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 
  • มีโรคความดันโลหิตสูง หรือรับประทานยาลดความดันโลหิตอยู่ 
  • ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ (ระดับไตรกลีเซอไรด์ มากกว่า 250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับคอเลสเตอรอล HDL< 35 มิลลิกรัม/เดซิลิตร) 
  • เคยมีประวัติเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ 
  • เคยได้รับการตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ เช่น ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร 100 – 125 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือระดับน้ำตาลสะสม 5.7-6.4% 
  • มีโรคหัวใจและหลอดเลือด 
  • กลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่ 
  • พฤติกรรมที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกายในระหว่างวัน 
  • การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) 

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคเบาหวาน 

  1. ระดับน้ำตาลในเลือดก่อนอาหาร (Fasting plasma glucose) มากกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร 
  2. ระดับน้ำตาลสะสม (HbA1C) มากกว่าหรือเท่ากับ 6.5% 
  3. ระดับน้ำตาลในเลือด 2 ชั่วโมง หลังดื่มสารละลายกลูโคส 75 กรัม มากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร 
  4. มีอาการของน้ำตาลในเลือดสูง (ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย น้ำหนักลด) ร่วมกับระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร 

การตรวจคัดกรองเบาหวานด้วยตัวเอง

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถติดตาม และดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น โดยใช้วิธีเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว นำเลือดหยดลงบนแถบทดสอบ แล้วใช้เครื่องตรวจน้ำตาลแบบพกพาอ่านค่าระดับน้ำตาลในเลือด 

ความถี่ในการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดควรปรับให้เหมาะสมกับชนิดของโรคเบาหวาน รูปแบบการรักษา และความจำเป็นทางคลินิกของผู้ป่วยแต่ละราย

โดยทั่วไปควรตรวจตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งมีแนวทางทั่วไปดังนี้

  1. ผู้ที่ฉีดอินซูลินตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป ควรตรวจก่อนอาหาร 3 มื้อทุกวัน และตรวจก่อนนอนเป็นครั้งคราว 
  2. ผู้ที่ฉีดอินซูลินวันละ 2 ครั้ง ควรตรวจวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าและเย็น 
  3. ผู้ที่ฉีดอินซูลินวันละ 1 ครั้งก่อนนอน ควรตรวจระดับน้ำตาลก่อนอาหารเช้าทุกวัน หรืออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ 
  4. ผู้ป่วยเบาหวานที่ตั้งครรภ์ควรตรวจระดับน้ำตาลวันละ 7 ครั้ง ได้แก่ ก่อนอาหารและหลังอาหาร 1 หรือ 2 ชั่วโมง ทั้ง 3 มื้อและก่อนนอน อาจลดจำนวนครั้งในการตรวจลงเมื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น 
  5. ควรตรวจเมื่อสงสัยว่ามีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และติดตามหลังจากนั้นจนระดับน้ำตาลในเลือดกลับมาปกติ 
  6. ควรตรวจช่วงที่มีภาวะเจ็บป่วย อย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง หรือทุก 4-6 ชั่วโมง หรือก่อนมื้ออาหาร เพื่อค้นหาแนวโน้มที่จะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หรือต่ำ 
  7. ควรตรวจก่อนและหลังออกกำลังกาย หรือช่วงเวลาทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น การขับรถ ในผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยาซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะน้ำตาลต่ำในเลือด 

เป้าหมายในการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วย 

  • สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2  
  • ระดับน้ำตาลก่อนทานอาหารแต่ละมื้อ ควรอยู่ระหว่าง 80-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร 
  • ระดับน้ำตาลหลังทานอาหาร 2 ชั่วโมง ควรน้อยกว่า 180 มิลลิกรัม/เดซิลิตร 
  • สำหรับผู้เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ 
  • ระดับน้ำตาลก่อนทานอาหาร น้อยกว่า 95 มิลลิกรัม/เดซิลิตร 
  • ระดับน้ำตาลหลังทานอาหาร 1 ชั่วโมง น้อยกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร 
  • ระดับน้ำตาลหลังทานอาหาร 2 ชั่วโมง น้อยกว่า 120 มิลลิกรัม/เดซิลิตร 
  • สำหรับผู้เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ก่อนการออกกำลังกายและวิธีปฏิบัติ 
  • ระดับน้ำตาลน้อยกว่า 90 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ควรรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต 15-30 กรัมก่อนออกกำลังกาย 
  • ระดับน้ำตาล 90-250 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สามารถออกกำลังกายได้ 
  • ระดับน้ำตาล 251-350 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แนะนำตรวจคีโตนในปัสสาวะ (ถ้ามีเครื่องตรวจหรือสามารถตรวจได้) ถ้าไม่พบคีโตนในปัสสาวะ สามารถออกกำลังกายเล็กน้อยหรือปานกลางได้ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 
  • ระดับน้ำตาลมากกว่า 350 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แนะนำตรวจคีโตนในปัสสาวะ (ถ้ามีเครื่องตรวจหรือสามารถตรวจได้) ถ้าไม่พบคีโตนในปัสสาวะ แนะนำให้ฉีดยาอินซูลินเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลงมาอยู่ในระดับปกติก่อนออกกำลังกาย 

วิธีการดูแลตนเองเมื่อพบว่าเป็นเบาหวาน 

  • ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ครบ 3 มื้อ ตรงเวลา ไม่งดมื้ออาหาร และควบคุมปริมาณอาหารแต่ละมื้อให้ใกล้เคียงกันทุกวัน หลีกเลี่ยงการกินจุบจิบ งดน้ำตาล น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง อาหารรสเค็ม ของหมักดอง ผลไม้รสหวาน ไขมันสูง เครื่องในสัตว์ กะทิ ไข่แดง ครีม และอาหารทอด 
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้ได้สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที 
  • ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์  
  • ห้ามสูบบุหรี่  
  • หมั่นดูแลสุขภาพเท้าโดยทำความสะอาดทุกวัน หากมีอาการชาที่เท้า ควรหลีกเลี่ยงการวางขวดน้ำร้อน กระเป๋าน้ำร้อน หรือการประคบด้วยของร้อน หากพบว่ามีบาดแผล ตุ่มหนอง หรือการอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน 
  • ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ปีละ 1 ครั้ง และวัคซีนป้องกันปอดอักเสบในผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป 
  • ควบคุมความดันโลหิต ไม่ให้สูงเกิน 140/90 มม.ปรอท และหากเป็นความดันโลหิตสูงแล้ว ต้องรับประทานยาลดความดันตามแพทย์สั่งห้ามหยุดใช้ยาเอง 
  • ควบคุมระดับไขมันในเลือด ให้ระดับไขมันชนิดไม่ดี (LDL) ต่ำกว่า 100 มก./ดล. และควรใช้ยาลดไขมันทุกราย ในผู้ป่วยที่อายุตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป 
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ 
  • ตรวจน้ำตาลในเลือด เพื่อประเมินผลการควบคุมเบาหวานด้วยตนเองที่บ้านร่วมกับการตรวจเลือดที่โรงพยาบาลทุก 2-3 เดือน 

โรคเบาหวานระยะแรกไม่มีอาการเด่นชัด แต่สามารถสังเกตจากอาการเบื้องต้นได้ เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ และปรับพฤติกรรมสุขภาพเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อน

เขียนบทความโดย ภญ.ฐิตาภา ภาษานนท์
 
อ้างอิง 
1.โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์. โรคเบาหวาน [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์; [สืบค้นเมื่อ 5 พ.ค. 2025]. เข้าถึงได้จาก: https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/diabetes-2 
2.โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์. โรคเบาหวาน [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์; [สืบค้นเมื่อ 5 พ.ค. 2025]. เข้าถึงได้จาก: https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/diabetes-2 
3.สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย. ข้อมูลสุขภาพและบทความ: โรคเบาหวาน [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย; [ไม่ทราบปีที่เผยแพร่] [สืบค้นเมื่อ 5 พ.ค. 2025]. เข้าถึงได้จาก: https://www.dmthai.org/new/index.php/sara-khwam-ru/sahrab-bukhkhl-thawpi/health-information-and-articles/health-information-and-articles-2561/2018-diabates-31 
4.โรงพยาบาลธนบุรี. ตรวจเช็กอาการเริ่มต้นโรคเบาหวาน [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลธนบุรี; [ไม่ทราบปีที่เผยแพร่] [สืบค้นเมื่อ 5 พ.ค. 2025]. เข้าถึงได้จาก: https://www.thonburihospital.com/early-diabetes-symptoms-check/ 
5. Medical News Today. Diabetes and itching: Causes of diabetic itching [Internet]. Brighton: Medical News Today;  [cited 2025 May 5]. Available from: https://www.medicalnewstoday.com/articles/diabetes-and-itching#causes-of-diabetic-itching 
6. Centers for Disease Control and Prevention. Diabetes signs and symptoms [Internet]. Atlanta: CDC;[cited 2025 May 5]. Available from: https://www.cdc.gov/diabetes/signs-symptoms/index.html 
7.โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์;  [สืบค้นเมื่อ 5 พ.ค. 2025]. เข้าถึงได้จาก: https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/self-monitoring-of-blood-glucose 
8.โรงพยาบาลศิครินทร์. สังเกตตัวเองด่วน [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลศิครินทร์; [สืบค้นเมื่อ 5 พ.ค. 2025]. เข้าถึงได้จาก: https://www.sikarin.com/health/สังเกตตัวเองด่วน 
9.โรงพยาบาลหัวเฉียว. โรคเบาหวาน [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลหัวเฉียว; [ไม่ทราบปีที่เผยแพร่] [สืบค้นเมื่อ 5 พ.ค. 2025]. เข้าถึงได้จาก: https://www.hc-hospital.com/health-info/diabetes/

สินค้าแนะนำ